วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรไทย สารสกัดจากมังคุด เสริมภูมิคุ้มกัน กับนักวิทยาศาสตร์ไทย ช่วยคนไทยรวยได้

ปฏิบัติการเพื่อภูมิคุ้มกันที่สมดุล หรือ Operation “BIM” (Balancing Immune) ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไทยได้ปรากฏสู่สายตาู่ชาวโลกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2551 ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การค้นพบครั้งนี้จะสามารถช่วยปรับความสมดุลสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และป้องกันสารแปลกปลอมจากภายนอกที่เข้ามาทำลายสุขภาพ เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง ที่ก่อให้เกิดโรคร้ายสารพัด
องค์การมหาชนและบริษัทมหาชนประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเหนือจรดใต้ร่วมปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION “BIM”) เพื่อสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้และธัญพืชในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบ และเกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อเนื่อง

OPERATION “BIM” (Balancing Immune) จะส่งผลให้ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถป้องกันเชื้อโรคและสารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพและก่อให้เกิดโรคร้าย เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง และร่างกายสามารถลดอาการผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่ส่งผลให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง สะเก็ดเงิน กระเพาะลำไส้อักเสบ ข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน อาการแพ้ หัวใจ ตับและไตทำงานผิดปกติ หอบหืด สันนิบาต อาการชัก เป็นต้น




ตำแหน่งของโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง

ความสามารถของร่างกายในการป้องกันและ/หรือลดอาการผิดปกติในร่างกายซึ่งบั่นทอนสุขภาพนี้ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ในระดับน้อยเกินไปจนติดเชื้อและถูกกระทบโดยสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย และไม่อยู่ระดับมากเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Auto-immune diseases) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดภาวะภูมิบำบัด (Auto-immunotherapy) ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันสมดุล (Immune Balance หรือ Immunomodulation) ขึ้นในร่างกาย

ภูมิบำบัดที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากการกระตุ้นการหลั่ง Interleukin-2 (อินเทอร์ลูคิน-ทู) ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และเป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin-1 (อินเทอร์ลูคิน-วัน) ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ลดน้อยจนเกิดสภาวะไม่สมดุล


ภาพ Interleukin-2
ความสามารถของร่างกายในการเพิ่ม Interleukin-2 และลด Interleukin-1 นี้เกิดขึ้นได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM ซึ่งได้จากการผสมสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ (Synergistic) โดยใช้ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณเหล่านี้ ที่นักวิจัยสหวิชาการได้สะสมมาตลอดระยะเวลา 31 ปี ผนวกกับความรู้ปัจจุบันทันสมัยของชีวโมเลกุลที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ในวันนี้

โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จาก Operation “BIM” เราสามารถเพิ่ม Interleukin-2 ในร่างกายได้เองในปริมาณที่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง แล้วยังสามารถลดความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเองได้อีกด้วย



สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้ใช้ Interleukin-2 เป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้าใต้ผิวหนังเพื่อรักษามะเร็งขั้นสุดท้าย บริษัทยาบริษัทหนึ่งมีรายได้จากการจำหน่ายยานี้กว่า 124 ล้านเหรียญในปี 2005 การรักษาด้วยยานี้ได้ผลดี แต่มีผลข้างเคียงร่วมด้วย

การรวมพลังทางสติปัญญา ความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์วิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากหลากหลายสาขาวิชาการเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณจากองค์การมหาชนสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และบริษัทมหาชน Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd. จึงทำให้เกิด OPERATION “BIM” อันเป็นกระบวนการรวมพลังครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ไทย



นักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิด OPERATION “BIM” มีมากกว่า 25 คน และที่มีบทบาทสำคัญ คือ
1. รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม (นักวิจัยเคมีอินทรีย์) และ ภ.ญ.รศ.ดร. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร (เภสัชกรและนักวิจัยจุลชีววิทยา) ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ทำงานการสอนและการวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มากว่า 20 ปีแล้ว ยังเป็นนักวิจัยชั้นนำของสถานวิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย

2. ภ.ญ.รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง ( นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และพิษวิทยาของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) ผู้เชี่ยวชาญของ UNESCO ทางด้านการศึกษาฤทธิ์การต้านการอักเสบของสารสกัดจากสมุนไพรในเอเชีย และทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากกว่า 35 ปี

3. รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ (นักวิจัยชีวเคมี) ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้รับรางวัลวิจัยยอดเยี่ยมจากสำนักงานสนับสนุนการวิจัย ได้รับรางวัล Cerebos Award ในปี 2006 และเป็นผู้ทำการสอนการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากว่า 20 ปี

4. ผศ.ดร.ศิริวรรณ องค์ไชย (นักวิจัยชีวเคมี) นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านผลของสมุนไพรต่อกระดูกอ่อนของศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ ทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากว่า 15 ปี

5. ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา (นักวิจัยเคมีอินทรีย์และฤทธิ์ชีวภาพของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) นักวิจัยผู้ศึกษาสารสกัดและฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชสมุนไพรกว่า 200 ชนิด เป็นนักวิจัยรับเชิญของสถาบันวิจัยมะเร็งในประเทศเยอรมัน ทำการสอนและการวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รวมเวลา 26 ปี ก่อนหันทิศทางชีวิตออกจากมหาวิทยาลัยจัดตั้งบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยพัฒนาและพาณิชย์ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการ และ CEO ของ Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd.

จุดเริ่มต้นของ OPERATION “BIM” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เมื่อคณะนักวิจัยในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้รับคำแนะนำจากนักการภารโรง (นายเขียว พัฒจรินทร์) ว่าเปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสสามารถใช้ทาแผลทำให้แผลแห้งและหายอย่างรวดเร็ว คณะนักวิจัยจึงเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการแยกสารที่ออกฤทธิ์จากเปลือกมังคุด ซึ่งหากเป็นประโยชน์ก็จะเป็นวิธีการกำจัดขยะจากเปลือกมังคุด ด้วยเหตุนี้การวิจัยเกี่ยวกับมังคุดตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในลักษณะของความร่วมมือของนักวิจัยสหสาขาวิชาการ จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปี



ก่อนจะสรุปได้ว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งการเจริญ และฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและระงับปวดในสัตว์ทดลอง โดยมีความแรงของฤทธิ์เป็น 3 เท่าของแอสไพริน ลดอาการแพ้และแก้ปวดในหนูทดลอง ต้านอนุมูลอิสระได้ดี สมานผิวได้อย่างรวดเร็ว และฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ และจากการทดสอบความปลอดภัยพบว่า สาร GM-1 เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูงและปลอดภัยกว่าสารธรรมชาติที่ให้รสเปรี้ยว (citric acid) ในมะนาวและส้มถึง 5 เท่า

จากข้อจำกัดทางด้านเงินทุนและกฏเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วที่ใช้ใน World Health Organization ทำให้การพัฒนา GM-1 ไปใช้เป็นองค์ประกอบของยาแผนปัจจุบันเป็นไปได้น้อยมาก คณะวิจัยจึงได้แต่เพียงนำ GM-1 เสริมกับสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางสำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้ จากการร่วมวิจัยพัฒนาและทดสอบกับบริษัท Henkel KGa ของประเทศเยอรมัน จึงได้มีการผลิตสบู่ เจลล้างหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด ครีมอาบน้ำ ครีมสิวที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญคือ สารสกัดจากเปลือกมังคุด GM-1 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกของโลก โดยไม่มีส่วนผสมของ Tannin ในเปลือกมังคุด อันอาจทำให้ผิวคล้ำได้อยู่ด้วย

ผลงานวิจัยของคณะนักวิจัยไทยได้รับการเผยแพร่ทั้งในสื่อภายในประเทศและพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการทั่วโลก ก่อให้เกิดการวิจัยตามมาจากนักวิจัยหลายคณะซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิจัยไทย ในค.ศ. 2003 บริษัทอเมริกันบริษัทหนึ่งได้นำผลงานวิจัยเหล่านี้ไปใช้ในการระบุประสิทธิภาพของน้ำมังคุดที่จำหน่ายในอเมริกาและยายออกไปทั่วโลก เกิดการสร้างรายได้ (โดยการจำหน่ายในระบบขายตรงหลายชั้น) 40,000 ล้านบาทในเวลา 2 ปี ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิตและจำหน่ายอย่างกว้างขวาง แต่ทว่าผลิตภัณฑ์น้ำมังคุดเหล่านี้ล้วนมีสีน้ำตาลเข้มเพราะใช้เปลือกมังคุดผสม

ในเชิงวิทยาศาสตร์การผลิตลักษณะนี้เป็นการผลิตที่ง่ายเกินไปและไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเปลือกมังคุดไม่ใช่ของบริโภคแต่ทิ้งเป็นขยะ จะใช้ต้มดื่มบ้างก็ต่อเมื่อใช้แก้อาการท้องเดินนานๆครั้ง คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณอาจจะมีประสบการณ์จนเกิดเป็นความรู้ว่าไม่ควรบริโภคเปลือกมังคุดเพราะก่อให้เกิดโทษได้ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น เพราะในเปลือกมังคุดมีสารแทนนินอยู่ในปริมาณมาก หากบริโภคมากเกินไปจะทำให้ท้องผูกและเป็นพิษต่อตับ มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและลดการดูดซึมอาหารผ่านกระเพาะ อีกทั้งมีผลงานวิจัยระบุว่า แทนนินเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งในร่องแก้มและทางเดินอาหารได้ด้วย นอกจากนี้เปลือกมังคุดยังอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการพ่นผลมังคุดในระหว่างการปลูกอีกด้วย

คณะนักวิจัยมังคุดของไทยได้เฝ้าติดตามกรณีของน้ำมังคุดที่จำหน่ายอยู่ด้วยความเป็นห่วงว่า สักวันหนึ่งอาจมีผู้บริโภคน้ำมังคุดที่มีส่วนผสมของเปลือกมากเกินไปจนเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ ประกอบทั้งมีข่าวเล่ากันว่ามีผู้บริโภคแล้วคันตามตัวบ้าง ท้องผูกบ้าง ท้องเดินบ้าง ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้จุดประกายเกี่ยวกับประโยชน์ของมังคุดจนเกิดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้น คณะนักวิจัยจึงเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้พึงระวังถึงผลข้างเคียงอันอาจจะเกิดขึ้น และในขณะเดียวกันก็ควรที่จะต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในลักษณะที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียง ควรจะเป็นเช่นไร

และในปี 2007 เมื่อราคามังคุดตกต่ำลงจนเกือบไม่คุ้มที่จะเก็บผลจากต้น สร้างความทุกข์ให้แก่ชาวสวนที่เฝ้าฟูมฟักรักษาผลมังคุดมาตลอดปีด้วยกำลังกายและกำลังทรัพย์ คณะนักวิจัยจึงเห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องนำความรู้ ผลงานวิจัย และประสบการณ์เกี่ยวกับมังคุดมาใช้ในการแก้ไขปัญหาชาวสวนพร้อมๆกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า มีความปลอดภัยมากกว่าการดื่มน้ำมังคุดผสมเปลือกหลายเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้ OPERATION “BIM” จึงเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเป็นกระบวนการต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
01 มะเร็งระยะสุดท้าย / Last stage cancer

- ตัวอย่างผู้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยมะเร็งในปอด ในกระดูก และที่ลิ้น พูดไม่ได้น้ำลายไหลตลอดเวลา ไอเป็นเลือดมาก ปวดทั้งตัว เคลื่อนไหวไม่ได้
- ธันวาคม 2007 หมอให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน มีเวลา 3 เดือนจัดการเรื่องส่วนตัว
- 24 กุมภาพันธ์ 2008 เริ่มใช้ แคปซูล GM-1 อาการดีขึ้นเป็นลำดับ…โดย 4วัน สามารถลุกขึ้นนั่งเองได้, 10วัน อาการปวดลดลง ลุกยืนขึ้นได้, 24วัน เริ่มออกกำลังกายได้ น้ำลายหยุดไหล พูดสะดวกขึ้น
- 8 สัปดาห์ ผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์มะเร็งหยุดแพร่ ผลการตรวจเนื้องอกและมะเร็ง พบว่าเนื้องอก และมะเร็งลดลง ตับอยู่ในสภาพทำงานได้อย่างปกติ
- ปัจจุบัน ขับรถได้ในระยะสั้น ไปชอปปิ้งได้ ออกกำลังกายได้ ไปทานอาหารนอกบ้านได้ เริ่มมีชีวิตอย่างปกติ


02 มะเร็งผิวหนัง / Skin cancer

- ตัวอย่างผู้เป็นมะเร็งผิวหนัง มีแผลที่หลัง ทายารักษามาตลอด 3 ปีก็ไม่หาย แพทย์ผิวหนังวินิจฉัยพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง ตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบเซลล์มะเร็ง และเริ่มมีเซลล์สะเก็ดเงิน
- หลังจากรับประทานแคปซูล GM-1 ก่อนนัดทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์ พบว่าแผลมีอาการดีขึ้นมาก หมอจึงงดการทำเลเซอร์ อนุญาติให้ทาน แคปซูล GM-1 ต่อเนื่องอีกเดือนแล้วจึงมาตรวจผลใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่าแผลดีขึ้นและเริ่มหายเป็นปกติ

03 เอดส์ / HIV Infection

- ตัวอย่างผู้ติดเชื้อ HIV มาเป็นเวลา 2 ปี มีเชื้อราที่ปาก ติดเชื้อที่ปอด และอาการคันตามร่างกาย
- ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 แล้ว เชื้อราที่ปากดีขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการติดเชื้อที่ปอด และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ


04 สิวอักเสบ / Face chronic infection

- ตัวอย่างผู้มีปัญหาสิวอักเสบบนใบหน้าตั้งแต่อายุ 26 ปี หลังคลอดบุตรคนแรก
- เข้ารับการรักษาตามคลีนิคต่างๆ อาการก็ไม่ดีขึ้น และผิวหน้าแย่ลงเรื่อยๆ
- หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 ในช่วงแรกสิวเห่อขึ้นบ้าง แต่เพียง 3 สัปดาห์อาการสิวอักเสบดีขึ้นมาก ปัจจุบันใช้ต่อเนื่องมา 4 เดือน ผิวหน้ากลับมาเป็นปกติ เป็นผลมาจากสรรพคุณของสารสกัดจากมังคุด GM-1 ในการต้านแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และเสริมภูมิคุ้มกัน

05 เบาหวาน / Diabetes

ตัวอย่างที่ 1 เป็นเบาหวานมา 14 ปี อาการหนักขึ้นเมื่อปี 2550 โดยเริ่มมีปัญหาไต และตับชื้น มีแผลเรื้อรังที่เท้า
- หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วแผลดีขึ้น แผลเริ่มตกสะเก็ด สามารถวิ่งออกกำลังกายได้
ตัวอย่างที่ 2 เป็นเบาหวานมา 4 ปี น้ำหนักลดลงเหลือ 52 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 600 มิลิกรัม ต้องฉีดอินซูลีนทุกวันเช้า-เย็น โดยไม่มีอาการดีขึ้น
- หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วอาการดีขึ้นมาก น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 65 กิโลกรัม น้ำตาลในเลือดลดลงเหลือ 150 มิลิกรัม
ตัวอย่างที่ 3 เป็นเบาหวาน ไตวายระยะที่ 2 มีแผลเรื้อรังในร่มผ้า
- ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 แล้ว อาการไตวายและแผลเรื้อรังหายดีขึ้น
ตัวอย่างที่ 4 เป็นเบาหวาน 7-9 ปี มีบาดแผลลึกที่เท้า เริ่มมีเชื้อบาดทะยัก ใช้ยาฆ่าเชื้อแต่อาการไม่ดีขึ้น หมอเตรียมตัดเท้าทิ้ง
- หลังจากใช้ แคปซูล GM-1 แผลเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน 4 วัน และหายเป็นปกติใน 3 สัปดาห์


06 พาร์คินสัน อาการสันนิบาต / Parkinson's disease

- ตัวอย่างผู้เป็นพาร์คินสันที่ประเทศสหรัฐฯ มีอาการสั่นรุนแรงขึ้นเร็วมาก จนไม่สามารถถือแก้วน้ำดื่มเองได้ ต้องดื่มโดยใช้หลอด ไม่สามารถถือหนังสือพิมพ์อ่านเองได้ ต้องวางไว้บนโต้ะก้มลงอ่าน
- หลังเริ่มใช้ แคปซูล GM-1 อาการสั่นเริ่มลดลงจนเกือบจะหายเป็นปกติ เดินได้ตรง สามารถออกกำลังกายได้ ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ


07 ลำไส้ติดเชื้อ / Intestinal infection

- ตัวอย่างผู้มีอาการลำไส้ติดเชื้อ กินข้าวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลีย นอนป่วยมาเป็นเดือนๆ ต้องมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด มีอาการอาเจียนทุกครั้งหลังจากทานข้าว และยาที่หมอให้มา
- หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 ครั้งละ 2 เม็ด ตอนเช้าและก่อนนอน วันรุ่งขึ้นสามารถลุกขึ้นอาบน้ำ และไปทำงานเองได้ กลับมารับประทานข้าวได้ตามปกติ และอาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากทานแคปซูลต่อเนื่องหนึ่งอาทิตย์


08 ตับเสื่อม / Liver failure

ตัวอย่างที่ 1 มีอาการอ่อนเพลีย หมดสติ วูบไปโดยไม่รู้ตัว พบว่ามีอาการตับเสื่อมอย่างรุนแรง
- ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 อาการดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือวูบหมดสติ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กลับมาแข็งแรงตามปกติ
ตัวอย่างที่ 2 มีอาการตาเหลือง ผิวเหลือง และปัสสาวะมีสีเหลือง ซึ่งแสดงถึงภาวะตับเสื่อม
- หลังจากรัปประทาน แคปซูล GM-1 ต่อเนื่อง 116 วัน ผลจากการตรวจเลือดแสดงว่าตับสามารถกลับมาทำงานเกือบปกติ


09 กระเัพาะเรื้อรัง / Peptic Ulcer

- ตัวอย่างผู้มีอาการกระเพาะเรื้อรัง อาสาสมัคร 20 คน รับประทาน แคปซูล GM-1 จำนวน 2 แคปซูลต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์
- อาการปวดท้องจากแผลในกระเพาะอาหารหายไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อาทิตย์แรก
- ผลการตรวจเลือดก่อนและหลังใช้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าใดๆในเลือดแสดงว่าปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง

10 สะเก็ดเงิน / Psoriasis

- ตัวอย่างผู้เป็นสะเก็ดเงินมา 15 ปี อาการเริ่มแรกเกิดขึ้นที่ท้ายทอย และลามไปตามตัว ตามร่างกาย ผิวมีลักษณะเป็นเกร็ดขาวๆ เดินไม่ได้ ลุกขึ้นไม่ได้ ทำงานไม่ได้
- หมอวินิจฉัยว่าเป็นสะเก็ดเงิน ไม่สามารถรักษาได้ ให้ยามารับประทานแต่อาการไม่ดีขึ้น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ทำงานไม่ได้ เลยใช้ยาแบบทาอย่างเดียว ซึ่งต้องทาทุกวัน
- หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วผิวเรียบขึ้น กลับมาทำงานได้ตามปกติ


11 ติดเชื้อราและแบคทีเรีย / Heals skin diseases & rashes. (Anti Fungal & Anti Bacterial)

- ตัวอย่างผู้มีอาการติดเชื้อราและแบคทีเรียตามผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ทั่วตัว และผิวอักเสบเป็นสีแดง
- หลังจากใช้ แคปซูล GM-1 ผิวกลับมาเรียบเนียนและคืนสู่ปกติ

12 ข้ออักเสบรูมาตอยส์ / Rheumatoid arthritis

- ตัวอย่างผู้เป็นรูมาตอยส์มากว่า 14 ปี ทุกวันจะมีอาการปวดและอักเสบมาก ปวดตามข้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงเช้าจะปวดและอักเสบมาก
- เข้ารับรักษามากว่า 10 ปีโดยใช้กลุ่มยาสเตอรรอยด์แบบฉีดเข้าข้อ และชนิดรับประทาน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น และมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
- หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วเพียง 1-2 เดือน อาการปวดข้อตามจุดเล็กๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ข้อนิ้ว หัวไหล่
- หลัง 3-4 เดือน ตรวจผลเลือดออกมาดีขึ้น ลดการใช้กลุ่มยาสเตอรรอยด์ลง
- ปัจจุบัน ไม่ได้ใช้ยาสเตอรรอยด์แล้ว


13 ลูกสะบ้าหัวเข่าเสื่อม / Deteriorated kneecap

- ตัวอย่างผู้มีอาการลูกสะบ้าหัวเข่าเสื่อม ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่สามารถเดินได้ หมอที่ประเทศสหรัฐฯ วินิจฉัยให้ทำการผ่าตัดเพราะเอ็นขาด
- หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว อาการปวดก็ยังไม่หาย และมีอาการเจ็บปวดมาก ไม่สามารถเดินได้เองจนต้องนั่งบนรถเข็น และได้ปฏิเสธการเปลี่ยนเข่าตามคำแนะนำของคุณหมอ
- ได้มีโอกาสมาเมืองไทยแล้วใช้แคปซูล GM-1 ทาน 2 เม็ดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน สามารถเดินเที่ยวในลาวได้ทั้งวันโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด
- ปัจจุบัน สามารถเดินได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวเข่าแล้ว





ข้อมูลนี้นำเสนอใน
การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34 (วทท34)
ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 31 ตุลาคม 2551

ทริมวัน โลชั่นกระชับผิว สูตร SlimSafe

หุ่นเพรียว กระชับ อย่างปลอดภัย ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ



ทริมวัน โลชั่นกระชับผิว สูตร SlimSafe ผลิตภัฒฑ์เพื่อหุ่นเพรียวบาง สูตรสลิมเซฟเป็นสูตรที่พัฒนาจากส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน และยับยั้งการสะสมไขมันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดเพื่อสุขภาพผิวที่ดีอีกด้วย เนื้อบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วยให้ผิวกระชับ เพียงลูบไล้โลชั่นให้ชุ่มและทั่วบริเวณที่มีส่วนเกิน หรือเซลลูไลท์ วันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำ เช้า-เย็น ยิ่งใช้มากจะได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

ศาสตราจาร์ย์ ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ผู้พัฒนาสารสกัดจากธรรมชาติสูตร ทริมวัน เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดไขมันส่วนเกินได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงและไม่กลับมาอ้วนใหม่เมื่อหยุดใช้ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องจนได้ เฟิร์มมิ่งครีมสูตรสลิมเซฟ ช่วยเร่งการลดไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วนได้มากขึ้นเป็นผลสำเร็จ ได้รับเชิญให้บรรยายผลงานวิจัยนี้ในที่ประชุมวิชาการสมุนไพรโลกครั้งที่ 3 การทดสอบกับอาสาสมัครสตรี 27 คน ทาครีมบริเวณที่มีไขมันสวนเกินวันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำเช้า-เย็น และรับประทานทริมวัน พาวเดอร์รสส้มร่วมด้วย มีการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า



สัดส่วนของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุดดังนี้

น้ำหนักไขมันร่างกาย
ลดลง 6.3 กก.

รอบเอว
ลดลง 4.0 นิ้ว

รอบสะโพก
ลดลง 3.0 นิ้ว

รอบต้นขาซ้าย
ลดลง 2.2 นิ้ว

รอบต้นขาขวา
ลดลง 2.0 นิ้ว

รอบต้นแขนซ้าย
ลดลง 1.6 นิ้ว

รอบต้นแขนขวา
ลดลง 1.2 นิ้ว


*การลดลงของรอบเอวขึ้นกับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล CMU Journal (2005) Vol.14(2) 175-181



วิธีใช้

โดยใช้ทริมวัน โลชั่นกระชับผิว ครั้งละ 2 ฝาขวดนวดบริเวณเอว, 2 ฝาขวดนวดบริเวณสะโพก, 2 ฝาขวดสำหรับนวดต้นขา และอีก 1 ฝาขวดสำหรับต้นแขน



ที่สุดแห่งพลังธรรมชาติ เพื่อผิวขาว กระจ่างใส

สูตร Witeberri PO (ไวท์เบอร์รี่ พีโอ) สูตรสารสกัดจากธรรมชาติจากพืชและผลไม้ไทยหลายชนิด มีคุณสมบัติพิเศษในการปรับสมดุลการทำงานของเอนไซม์ไธโรซิเนส ซึ่งใช้ในกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่มากผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ จุดด่างดำ ทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

3 ขั้นตอนสู่ผิวหน้าขาวใสไร้ตำหนิภายใน 6 สัปดาห์

ขั้นตอนแรก: ไลฟ์ เฟเชียล เคลนซิ่งครีม
ล้างหน้าให้สะอาดทุกเช้า-เย็นด้วยไลฟ์ เฟเชียล เคลนซิ่งครีม เนื้อครีมละเอียดอ่อน จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เพื่อให้ผิวหน้าขาวเนียนสดใส

ขั้นตอนที่สอง: ไลฟ์ ไบรท์เทนนิ่ง โลชั่น
ใช้ไลฟ์ ไบรท์เทนนิ่งโลชั่น ลูบไล้ทั่วผิวหน้าเช้า-เย็น สารสกัดธรรมชาติ "Witeberri PO" จะซึมซาบเข้าสู่ผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับสมดุลของกระบวนการสร้างสีผิว ผิวหน้าจะค่อยๆขาวสดใสขึ้นภายใน 6 สัปดาห์

ขั้นตอนที่สาม: ไลฟ์ ยูวี โปรเทคชั่นครีม SPF 30
ทุกเช้าหลังล้างหน้าและทาไลฟ์ ไบรท์เทนนิ่งโลชั่น ควรใช้ครีมกันแดดไลฟ์ ยูวี โปรเทคชั่นครีม SPF 30 เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) ป้องกันการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ป้องกันการเกิดผิวหน้าหมองคล้ำและริ้วรอยก่อนวัย

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รวมรูปงานประชุมพัฒนาCPG 1-2ตุลาคม 2552 ผู้ป่วยเรื้อรังที่ นาข่า รีสอร์ท จังหวัดอุดรธานี

























































































































easy asthma นพ.วัชรา ศรีสวัสดิ์ และงานบริการโรงพยาบาลศรีสมเด็จ

















































Introduction of Easy Asthma Clinic

นพ.วัชรา บุญสวัสดิ์ พบ. Ph.D
Introduction of easy asthma clinic/real life
โรคหืดเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยและเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทย (1-3) และประเทศต่างๆทั่วโลก(4, 5) ในปัจจุบันความรู้เรื่องโรคหืดได้พัฒนาไปมาก ทำให้แพทย์มีความเข้าใจในพยาธิสภาพ และกลไกสำคัญในการเกิดโรคหืด (6, 7) ซึ่งยังผลให้การรักษาโรคหืดในปัจจุบันแตกต่างไปจากในอดีตเป็นอย่างมาก(8)
เพื่อให้การรักษาโรคหืดได้ผลดีขึ้นและมีมาตรฐานเดียวกันจึงได้มีการจัดทำแนวทางการรักษาโรคหืดขึ้น ซึ่งได้มีการเริ่มทำที่ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก่อนใน พ.ศ.2532(9) ต่อมาก็มีการทำในลักษณะเดียวกันในหลายประเทศ เช่น ที่อังกฤษ(10, 11) และอเมริกา(12) เนื่องจากว่าการรักษาโรคหืดในแต่ละประเทศก็แตกต่างกันมากเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง องค์การอนามัยโลก(WHO) ร่วมกับ National Heart Lung and Blood Institute (NHLBI) ของอเมริกาจึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจาก 17 ประเทศมาร่วมกันเขียนแนวทางการรักษาโรคหืดขึ้นเพื่อให้การรักษาโรคเป็นไปในทางเดียวกันทั่วโลก เรียกว่า Global Initiative for Asthma (GINA)(4) ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมีหลายประเทศที่ได้นำเอา GINA guidelines ไปเป็นแนวทางในการทำแนวทางการรักษาโรคหืดของตนเองรวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งแนวทางการรักษาโรคหืดในประเทศไทยได้จัดทำขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537(13) โดยความร่วมมือของสมามอุรเวชช์ สมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา และชมรมโรคหอบหืด และได้มีการปรับปรุงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2540 (14) และครั้งล่าสุดเมื่อพ.ศ. 2547(15)
เป้าหมายในการรักษาโรคหืดที่ GINA guidelines ได้ตั้งไว้คือ ผู้ป่วยโรคหืดไม่ควรจะมีอาการหอบ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาหอบในช่วงกลางคืน ไม่ต้องไปห้องฉุกเฉินเพราะอาการหอบ มีสมรรถภาพปอดเป็นปกติ โดยปราศจากอาการข้างเคียงจากการใช้ยา โดยแนวทางการรักษาโรคหืดในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปเนื่องจากพยาธิกำเนิดของโรคหืดในปัจจุบันเชื่อว่ามีการอักเสบของหลอดลมทำให้หลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นผิดปกติ เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นหลอดลมก็จะตีบ (รูปที่ 1) ดังนั้นการรักษาโรคหืดในปัจจุบันจะให้ยาที่ลดการอักเสบของหลอดลมคือยาพ่นเสตียรอยด์เป็นหลัก แทนการใช้ยาขยายหลอดลม

หลังจากมีการนำเอา GINA guideline มาใช้หลายปี ได้มีการสำรวจผลการรักษาโรคหืดในประเทศไทย (16) กลับพบว่าการควบคุมโรคหืดยังต่ำกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้เป็นอย่างมาก โดยพบว่า 14.8% ของผู้ป่วยโรคหืด ต้องมีอาการหอบรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา และ 21.7% ที่เคยมาห้องฉุกเฉินในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งที่มีคุณภาพชีวิตด้อยกว่าคนปกติเพราะไม่สามารถทำกิจกรรมได้เช่นคนปกติ สาเหตุสำคัญก็เพราะว่าผู้ป่วยส่วนมากไม่ได้รับการรักษาตามที่แนวทางการรักษาได้ให้คำแนะนำไว้โดยพบว่าผู้ป่วยโรคหืดในประเทศไทยที่ได้รับยาพ่นเสตียรอยด์ มีเพียง 6.7% และผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจสมรรถภาพปอดมีเพียง 28% แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการพยามนำเอา GINA guideline ไปใช้งาน ซึ่งผลการสำรวจก็เป็นไปในแนวเดียวกันกับผลการสำรวจในอเมริกา(17) ยุโรป(18)
ปัจจัยที่ทำให้การรักษาโรคหืดในประเทศไทยไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร มีดังนี้
1. แพทย์ให้ความสนใจปัญหาโรคหืดน้อย ถึงแม้ว่าในแต่ละปีมีคนไข้โรคหืดที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการหอบรุนแรงมากกว่า 100,000 คนเพราะว่าโรคหืดมักจะรักษาง่าย และไม่ค่อยมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคหืด
2. ผู้ป่วยโรคหืดส่วนใหญ่พอใจกับอาการหอบที่ตนมีอยู่ จากการสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคหืด (16) พบว่าผู้ป่วยโรคหืดส่วนมากจะคิดว่าการควบคุมโรคหืดของตนเองดีแล้วแม้ว่าจะมีอาการหอบเกือบทุกวัน เลยไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
3. แนวทางในการรักษาโรคหืดในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จากเดิมที่เข้าใจว่าโรคหืดเป็นโรคที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหลอดลมที่โตขึ้นและหดตัวมากกว่าปกติและคิดว่าโรคหืดเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ จึงรักษาโรคหืดโดยการใช้ยาขยายหลอดลมเป็นหลักเฉพาะเวลาที่มีอาการเท่านั้น แต่ในปัจจุบันเข้าใจว่าโรคหืดมีการอักเสบของหลอดลมทำให้หลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นผิดปกติ ดังนั้นโรคหืดจึงเป็นโรคที่รักษาได้ด้วยการให้ยาลดการอักเสบของหลอดลมซึ่งได้แก่ ยาพ่นเสตียรอยด์ (inhaled corticosteroids) เป็นหลักแทนการใช้ยาขยายหลอดลม ทำให้แพทย์เปลี่ยนแนวคิดไม่ทัน
4. แนวทางในการรักษาโรคหืดยุ่งยากซับซ้อนทำให้ยากต่อการปฏิบัติตาม เช่น การจำแนกความรุนแรงของโรคหืด และการให้ยารักษาตามระดับความรุนแรงของโรค
5. แพทย์ไม่มีเวลามากพอในการดูแลคนไข้โรคหืด ปกติแพทย์มีเวลาตรวจผู้ป่วยที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกประมาณ 10 นาที แต่การที่จะรักษาผู้ป่วยโรคหืดให้ดีจะต้องให้ความรู้แก่ผู้ป่วย จะต้องประเมินความรุนแรงของโรค จะต้องสอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการพ่นยาให้ถูกต้อง ซึ่งต้องใช้เวลามาก
คลินิกโรคหืดแบบง่ายๆ (Easy Asthma Clinic)
การจัดตั้ง คลินิกโรคหืดแบบง่ายๆ (Easy Asthma Clinic) เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งจะทำให้การรักษาตาม guideline เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีหลักการดังนี้
1. ต้องทำให้การรักษาโรคหืดให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยEasy Asthma Clinic จะต้องทำง่ายแม้กระทั่งแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในรพ.ทั่วๆไปหรือรพ.ชุมชนทั่วประเทศสามารถปฏิบัติได้
2. จะต้องมีการจัดระบบที่ดีที่จะทำให้แพทย์ใช้เวลาน้อยลงในการดูแลผู้ป่วย
3. เพิ่มบทบาทของพยาบาลและเภสัชกรในการร่วมดูแลผู้ป่วย และให้ความรู้เรื่องโรคหืดและแนวทางในการรักษาโรค ความรู้เรื่องยาและวิธีการใช้ยาพ่นชนิดต่างๆ แก่ผู้ป่วย จะช่วยให้การดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดปัญหาการไม่ใช้ยาตามแพทย์สั่ง
ขั้นตอนการทำงานของคลินิกโรคหืดแบบง่ายๆ
1. คนไข้ทุกคนจะต้องพบกับพยาบาลก่อนเพื่อลงทะเบียน และประเมินการควบคุมโรคหืดของคนไข้ โดยใช้แบบสอบถามง่ายๆ(asthma control questionnaires) (ตารางที่ 1) เสร็จแล้วก็ให้ผู้ป่วยเป่าพีคโฟว์ ( Peak Expiratory Flow Rate: PEFR)เพื่อวัดความเร็วสูงสุดที่ผู้ป่วยสามารถเป่าได้
2. เมื่อพยาบาลประเมินเสร็จก็ส่งผู้ป่วยเข้าพบแพทย์ แพทย์จะให้การรักษาตามแนวทางการรักษาที่ดัดแปลงให้ง่ายๆ กล่าวคือ เราจะไม่ต้องจำแนกผู้ป่วยตามความรุนแรงซึ่งยากแก่การจดจำ แต่จะประเมินว่าผู้ป่วยควบคุมโรคหืดได้หรือยัง (คำว่าควบคุมโรคได้หมายความว่าผู้ป่วยต้องไม่มีอาการทั้งกลางวัน และกลางคืน ต้องไม่ใช้ยาขยายหลอดลม ต้องไม่ไปห้องฉุกเฉิน และพีคโฟว์ เกิน 80%ของค่ามาตรฐาน) ถ้าผู้ป่วยยังควบคุมโรคยังไม่ได้ แพทย์ก็จะให้ยารักษาโดยให้ยาพ่นเสตียรอยด์ ขนาดปานกลาง (500-1000 μg) ไปก่อน ถ้าครั้งหน้าผู้ป่วยยังไม่สามารถควบคุมโรคได้ก็ให้เพิ่มยาเข้าไป โดยยาที่จะให้เพิ่มก็มีเพียง ยา 3 ตัวคือ Long acting beta-2 agonists, theophylline และ anti-leukotrienes ถ้าควบคุมโรคได้ก็ค่อยๆลดยาลง
3. เมื่อแพทย์สั่งการรักษาเสร็จก็ส่งผู้ป่วยพบกับเภสัชเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคหืดและการรักษาโรค พร้อมทั้งสอนเรื่องการใช้ยาพ่น
4. ข้อมูลคนไข้จะถูกบันทึกในฐานข้อมูลรวมผ่านเวปไซด์
ตารางที่ 1 แบบสอบถามเพื่อการประเมินการควบคุมโรคหืดของผู้ป่วย (asthma control questionnaires) โดยถามคำถามง่ายๆ 4 ข้อ
1. ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมาคุณมีอาการไอ หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ในช่วงกลางวันบ้างหรือไม่
2. ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมาคุณต้องลุกขึ้นมาไอ,หายใจฝืดและแน่นหน้าอก,หายใจมีเสียงวี้ดในช่วงกลางคืนบ้างหรือไม่
3. ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณใช้ยาบรรเทาอาการหอบ (ยาขยายหลอดลม)บ้างหรือไม่?
4. ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา คุณเคยหอบมากจนต้องไปรับการรักษา ที่ห้องฉุกเฉิน หรือ ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ้างหรือไม่บ้างหรือไม่
ผลที่ได้รับจากการจัดตั้ง Easy Asthma Clinic คือ
1. การรักษาโรคหืดในโรงพยาบาลชุมชนได้มาตรฐานระดับโลก คือมีการประเมินการควบคุมโรคหืดด้วยการถามอาการ ร่วมกับการวัดค่าPeak flow ทุกครั้ง การรักษามีการใช้ยาพ่นเสตียรอยด์ เพิ่มขึ้น มีการสอนผู้ป่วยเรื่องการใช้ยาพ่น และความรู้เรื่องโรคหืด
2. ผู้ป่วยโรคหืดจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการหอบ และไม่ต้องหอบรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินหรือนอนรับการรักษาที่โรงพยาบาล
3. มีความร่วมมือกันของทีมแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรรม ทำให้การรักษาเป็นเอกภาพ และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันทำให้ทีมมีความรู้เรื่องโรคหืดมากขึ้น และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
4. มีการบันทึกข้อมูลการรักษาอย่างเป็นระบบซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย และระบบการสาธารณสุขของประเทศไทยในอนาคต
ในปัจจุบัน Easy Asthma Clinic ได้รับความสนใจมากโดยมีสมาชิกที่เปิดดำเนินการมากกว่า 200 โรงพยาบาล และได้มีการพัฒนาโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยทำให้สามารถเก็บข้อมูลออนไลน์ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่
http://eac.mykku.net
สรุป
โรคหืดเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ถูกมองข้าม คนไข้โรคหืดในประเทศไทยจำนวนมากยังต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคเพราะไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาโรคหืดที่ได้ผลดีแต่ไม่ได้มีการนำเอาแนวทางนี้ไปใช้อย่างแพร่หลาย โครงการจัดทำคลีนิคโรคหืดแบบง่ายๆ (Easy Asthma Clinic) น่าจะมีส่วนช่วยทำให้การรักษาโรคหืดในประเทศไทยได้ผลดียิ่งขึ้น และด้วยความร่วมมือของแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรผู้มีความมุ่งมั่นที่จะให้ผู้ป่วยโรคหืดหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน เชื่อว่าอีกไม่นานผู้ป่วยโรคหืดในเมืองไทยคงจะควบคุมโรคหืดได้อย่างดี






คำแนะนำการปฏิบัติตนของผู้ป่วยหอบหืด
1. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นการแพ้ โดยเฉพาะไรฝุ่น , สัตว์เลี้ยง , เชื้อราบางชนิด , เกษรดอกไม้
2. อย่าใช้ยาชุด หรือยาลูกกลอนไทยด้วยตัวเอง เพราะมีสเตอรอยด์ผสมอยู่ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของการใช้ยาได้
3. รักษาร่างกายให้อบอุ่น พยายามอย่าให้เป็นหวัด เพราะความเย็นและไข้หวัดทำให้อาการกำเริบได้
4. หลีกเลี่ยงการใช้ยา Aspirin , ยาลดความดันในกลุ่ม Beta block เพราะอาจกระตุ้นให้อาการหอบกำเริบ เวลาพบแพทย์ด้วยโรคอื่นควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งยาเหล่านี้
5. งดการสูบบุหรี่
6. ดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำเพื่อช่วยขับเสมหะ
7. ลดภาวะเครียดโดยการทำสมาธิ สวดมนต์ภาวนา ทำจิตใจให้สงบ เนื่องจากภาวะเครียดจะทำให้อาการกำเริบได้
8. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง ถ้ามีอาการอาจใช้ยาพ่นเพื่อลดอาการหอบหืดที่เกิดขึ้น

สิ่งกระตุ้นอาการหอบหืด
1. ไรฝุ่น ( เตียง ที่นอน ผ้าห่ม หมอน เฟอร์นิเจอร์ )
2. สัตว์เลี้ยง และเสื้อขนสัตว์
3. แมลงสาบ
4. เกสรดอกไม้
5. รา
6. บุหรี่
7. การติดเชื้อในทางเดินหายใจ
8. การออกกำลังกาย
9. ภาวะเครียด
10. ยาบางชนิด ยา Aspirin , ยาลดความดันในกลุ่ม Beta block
11. สารเคมี

Easy Asthma Clinic งานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศรีสมเด็จ
เริ่มดำเนินการเมื่อวปี2546
เปิดให้บริการที่ห้องตรวจโรคเรื้อรัง ทุกวันพุธทีเวลา 08.00 น. - 16.00 น.
(ยกเว้นวันนขัตฤกษ์ที่เป็นวันหยุดราชการ)

ขั้นตอนการรับผู้ป่วยเข้าคลีนิกโรคหอบ
1. เข้าพบแพทย์ แพทย์วินิจฉัยเป็น Asthma และนัดมารับบริการที่คลีนิกโรคหอบ
2. แพทย์ ส่งพบพยาบาลประจำคลินิกหอบหืด เพื่อ ซักประวัติ ลง appendix1 1 ประเมินสภาพ ร่างกาย สมรรถภาพปอดโดยการเป่าpeak flow และเตรียมความพร้อม ด้านจิตใจ ในการรับรู้ความเจ็บป่วย การรักษา การดำเนินของโรคให้ผู้ป่วยเข้าใจ เพื่อเกิดความตระหนักในการ มาตรวจตามนัด และการสนใจตัวเองมากขึ้น.
3.ออกสมุดคู่มือการดูแลตัวเองของผู้ป่วยหอบหืดเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจการปฏิบัติตัวมากยิ่งขึ้น และเมื่อเกิดภาวะจับหืดสามารถประเมินและดูแลตัวเองได้
4.ส่งพบเจ้าหน้าที่เภสัชกรในการสอนเรื่องยาที่ใช้และการพ่นยาที่ถูกต้อง แก่ผู้ป่วยและญาติ
5. ส่งพบนักกายภาพบำบัดในการสอนเรื่องการหายใจ และการเพิ่มสมรรถภาพของปอด
6.ออกบัดนัด ให้ผู้ป่วย และแนะนำภาวะจับหอบ การพ่นยาขณะหอบที่ต้องเรียกรถพยาบาลไปรับ โดยใช้บริการ 1669
ขั้นตอนการให้บริการรายใหม่
1. ยื่นบัตรประจำตัวผู้รับบริการ, สิืทธิบัตรต่าง ๆ และใบนัดที่ห้องบัตรผู้รับบริการได้รับบัตรคิวและนั่งรอที่ห้องตรวจเรื้อรัง
2. ผู้รับบริการชั่งน้ำหนัก / วัดส่วนสูง / วัดสัญญาณชีพ / ซักประวัติข้อมูลส่วนตัวและประเมินการควบคุมโรคหอบของผู้รับบริการโดยใช้แบบสอบถาม asthma control questionnaires ตามลำดับคิว
3. ทดสอบสมรรถภาพปอดอย่างง่าย : วัด Peak Expiratory Flow Rate (PEFR) เพื่อวัดความเร็วสูงสุดที่ผู้รับบริการสามารถเป่าได้
- พยาบาลให้ความรู้เรื่องการเป่า Peak Expiratory Flow
- ผู้รับบริการเป่า Peak Expiratory Flow
4. บันทึกข้อมูลของผู้รับบริการในฐานข้อมูลรวม และขึ้นทะเบียนคลีนิกโรคหอบ
5. ให้สุขศึกษารายบุคคล
6. เจ้าหน้าที่เรียกผู้รับบริการเข้าพบแพทย์ตามลำดับคิว
7. พบเจ้าหน้าที่เรียกผู้รับบริการเข้าพบแพทย์ตามลำดับคิว
8. รับวันนัดครั้งต่อไป
9. รับยาที่ห้องจ่ายยา
ขั้นตอนการให้บริการผู้รับบริการรายเก่า
1. ยื่นบัตรประจำตัวผู้รับบริการ, สิทธิต่างๆ และใบนัดที่ห้องบัตรผู้รับบริการได้รับบัตรคิวและนั่งรอที่ห้องตรวจโรคเรื้อรัง
2. ผู้รับบริการชั่งน้ำหนัก / วัดส่วนสูง (ทุก 1 ปี) / วัดสัญญาณชีพ / ประเมินการควบคุมโรคหอบของผู้รับบริการ โดยใช้แบบสอบถาม asthma control questionnaires ตามลำดับคิว
3. วัด Peak Expiratory Flow Rate (PEFR)
- พยาบาลทบทวนความรู้เรื่องการเป่า Peak Expiratory Flow
- ผู้รับบริการเป่า Peak Expiratory Flow
4. บันทึกข้อมูลของผู้รับบริการในฐานข้อมูลรวม

5. ให้สุขศึกษารายบุคคล
6. เจ้าหน้าที่เรียกผู้รับบริการเข้าพบแพทย์ตามลำดับคิว
7. พบเจ้าหน้าที่เรียกผู้รับบริการเข้าพบแพทย์ตามลำดับคิว
8. รับวันนัดครั้งต่อไป
9. รับยาที่ห้องจ่ายยา

Guideline การรักษาผู้ป่วย Asthma OPD Case ในการรักษาระยะยาว

ระดับ
อาการ
การรักษา
ระดับที่ 1
Mild intermittent
หอบเหนื่อยในเวลากลางวัน ≤ 2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์
หอบเหนื่อยในเวลากลางคืน ≤ 2 ครั้ง ต่อ เดือน

ไม่ต้องให้ยาป้องกัน
ถ้ามีอาการมาเมื่อมีสิ่งกระตุ้น ให้ Prednisolone 2 mg /Kg / day ไม่เกิน 60 mg/day 7-10 วัน
ให้ Salbutamal inhalation 2-4 puff เมื่อมีอาการ

ระดับที่ 2
Mild persistent
หอบเหนื่อยในเวลากลางวัน > 2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ แต่ <> 1 คืน / สัปดาห์
Beclomethazone ( 50 µg / puff) ให้ 320 - 680 µg ( 8 -14puff )
เริ่มที่ 2 -3 puff x 4 ทุกวัน และค่อยๆ ลดdose ลงถ้าอาการดีขึ้น 1-3 เดือน
หรืออาจให้ Theophyllin SR 10 mg /Kg /day oral bid pc
( Max 800 mg / day )
ให้ Salbutamal inhalation 2-4 puff เมื่อมีอาการ

ระดับที่ 4
หอบเหนื่อยในเวลากลางวันตลอดเวลา
หอบเหนื่อยในเวลากลางคืน ≥ 1 คืน / สัปดาห์
Beclomethazone ( 50 µg / puff) ให้ 320 - 680 µg ( 8 -14puff )
เริ่มที่ 2 -3 puff x 4 ทุกวัน และค่อยๆ ลดdose ลงถ้าอาการดีขึ้น 1-3 เดือน
หรืออาจให้ Theophyllin SR 10 mg /Kg /day oral bid pc
( Max 800 mg / day )
ถ้ายังมีอาการมากให้ Pred 2 mg / Kg / day ( Max 600 mg / day )
ค่อยๆลดขนาด ถ้าควบคุมได้
ให้ Salbutamal inhalation 2-4 puff เมื่อมีอาการ

ข้อเสนอแนะ
1. การรักษาที่ได้ผลดีต้องทำคู่กับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อควบคุมอาการ
2. ระดับอาการของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงได้ ให้ดูเรื่องยาของผู้ป่วยและประเมินอาการทุก 3 เดือน
3. ผู้ป่วยที่เป็นหอบหืด เมื่อมีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ ABT ทุกราย ควรให้เมื่อมีการติดเชื้อBac เช่น มีไข้และเสมหะสีเขียว , สงสัยปอดอักเสบ , ไซนัสอักเสบ เป็นต้น
4. การให้ Salbutamal inhalation ที่บ้าน ให้พ่นได้ 2 – 4 puff เวลาที่มีอาการ หรือมีอาการมาก อาจให้พ่นได้ทุก 20 นาที ใน 1 ชม และถ้าอาการดีขึ้นให้พ่นทุก 3-4 ชม นาน /72 ชม แล้วจึงเปลี่ยนเป็นพ่นเฉพาะเมื่อมีอาการ ( การพ่นยา ไม่ควรเกิน 8-12 puff ใน 24 ชม ) ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้มาพบแพทย์
5. ผู้ป่วยที่ได้รับยา B2 agonist oral tablet เช่น salbutamal หรือ bricanyl ควรเริ่มให้ inh Beclomethazone หรือ theophyllin ก่อน แล้วจึงหยุดยา B2 agonist oral tablet ในผู้ป่วยครั้งต่อไป ( ดูตามอาการผู้ป่วย )






วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โรคหอบหืด การรักษาและการดูแล




เครือข่ายการพัฒนาการพยาบาล และการดูแลส่งต่อ
ผู้ป่วยหอบหืด(Asthma )และผู้ป่วยถุงลมโป่งพอง(COPD) จังหวัดร้อยเอ็ด



"การสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วยมีความสำคัญในการบำบัดภาวะเรื้อรัง อาทิ โรคหอบหืด และผลการสำรวจ GAPP แสดงให้เห็นว่า มีช่องทางมากมายที่จะช่วยปรับปรุงเรื่องนี้ในทุกประเทศที่เราทำการศึกษา" นายจี. วอลเตอร์ คาโนนิกา แพทย์ศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยเจโนวา เมืองเจโนวา ประเทศอิตาลี จากองค์กรโรคภูมิแพ้โลกกล่าว "ผลข้างเคียงเป็นประเด็นที่เราเริ่มต้นศึกษา ซึ่งผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงภาวะขาดการติดต่อสื่อสารอย่างมากระหว่างแพทย์และผู้ป่วย" ในสายตาของแพทย์นั้น มีความแตกต่างระหว่างคนไข้ที่รับรู้เรื่องผลข้างเคียงตามสภาพความเป็นจริงและคนไข้ที่รับรู้เรื่องผลข้างเคียงด้วยความเข้าใจ โดยผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า เกือบ 1 ใน 3 (31%) ของผู้ป่วยกล่าวว่า พวกเขา "ไม่ทราบ" เรื่องผลข้างเคียงในระยะยาว ขณะที่แพทย์เชื่อว่าจำนวนคนไข้ที่รับรู้เรื่องผลข้างเคียงมีมากขึ้น มีแพทย์เพียง 3% เท่านั้นที่เชื่อว่าคนไข้ "ไม่ทราบ" เรื่องผลข้างเคียงในระยะสั้น และ 7% เชื่อว่าคนไข้ไม่ทราบเรื่องผลข้างเคียงในระยะยาว ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนไข้ที่ได้รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์และได้รับผลกระทบข้างเคียง 34% ของคนไข้ที่เข้ารับประทานยาตามคำสั่งแพทย์เชื่อว่าพวกเขาได้รับผลข้างเคียงระยะสั้น ซึ่งรวมถึงเชื้อราที่เกิดขึ้นในปาก เยื่อบุคอหอยอักเสบ หรือ เสียงแหบ จากการรับการรักษาโรคหอบหืด และ 19% เชื่อว่าพวกเขาได้รับผลข้างเคียงในระยะยาว คนไข้ที่ได้รับผลข้างเคียงมักให้เหตุผลว่าเป็นเพราะไม่เชื่อฟังคำแนะนำของแพทย์ในการบำบัดรักษา โดยรายงานระบุว่ามีคนไข้เพียง 26% เท่านั้นที่ร้องเรียนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของจำนวนครั้งที่มีการร้องเรียน รายงานยังระบุด้วยว่าคนไข้ที่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ด้านการรักษาของพวกเขาจะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพวกเขามากขึ้น ซึ่งรวมถึงการแสดงอาการเพิ่มขึ้น (69%) และการถูกกระทบจากโรคหอบหืดถี่ขึ้นหรือหนักขึ้น (41%) ทั้งนี้ แพทย์ได้ประเมินหัวข้อที่ว่าคนไข้ของพวกยอมทำตามกฎเกณฑ์ด้านการรักษาบ่อยแค่ไหนไว้สูงเกินไป "การค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองความต้องการที่ไม่เพียงพอในการรักษาโรคหอบหืด" ดร.คาร์ลอส อี.บาเอนา-คาญานี จากมหาวิทยาลัยคาทอลิกยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ คอร์โดบา เมืองคอร์โดบา ประเทศอาร์เจนติน่า ในนามองค์กรโรคภูมิแพ้โลก กล่าวว่า "ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานยารักษาโรคหอบหืดตามคำแนะนำนั้น รายงานระบุว่าโรคหอบหืดของพวกเขามีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพวกเขามากขึ้น ส่วนคนไข้ที่มีการศึกษาและได้รับการบำบัดรักษาที่ดีกว่าอาจกล่าวถึงบางประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาในการสำรวจครั้งนี้ และทำให้ผลการรักษาคนไข้ประเภทนี้ออกมาดีกว่า" รายงานที่ไม่ต่อเนื่องกันเกี่ยวกับจำนวนของเวลาที่ใช้ในการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยจากผลการสำรวจในแต่ละประเทศ ผู้ป่วยและแพทย์ได้รายงานถึงผลการประเมินที่แตกต่างกันว่า การให้ความรู้ในระหว่างที่เดินไปตามสำนักงานต่างๆนั้นใช้เวลาไปเท่าใด โดยผู้ป่วย 23% ทั่วโลกได้ประเมินว่าไม่มีเวลาในการหารือกันทางด้านเทคนิคสำหรับการจัดการเรื่องโรคหอบหืดให้ประสบความสำเร็จในระหว่างที่มีการเดินทางเยือนบริษัทต่างๆ ด้านแพทย์ 87% ประเมินว่า การเดินทางเยือนสำนักงานมากในสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งผลการศึกษาที่มีค่าอีกชิ้นหนึ่งนั้นคือ ผู้ป่วยถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ได้รับการสำรวจไม่เคยพูดคุยเรื่องผลข้างเคียงในระยะสั้นและระยะยาวกับแพทย์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม แพทย์จำนวนมากได้ระบุว่า พวกเขาได้พูดคุยถึงเรื่องผลข้างเคียงกับผู้ป่วยของตนเองแล้ว ผลสำรวจ GAPP ไม่เพียงแต่อธิบายหรือกำหนดขอบเขตความต้องการที่ยังไม่บรรลุผลในด้านการรักษาหอบหืด แต่ยังเปิดให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์กันโดยตรงระหว่างการสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยและองค์ประกอบในการรักษา โดยผู้ป่วยที่ได้พูดคุยกับแพทย์มากกว่าเกี่ยวกับเทคนิคในการรักษาโรคหอบหืดให้ประสบความสำเร็จนั้น มีผลการรักษาที่ดีและสอดคล้องกับขั้นตอนในการรักษา ผู้ป่วยและแพทย์เห็นชอบว่า มีความจำเป็นที่จะใช้การแพทย์เพื่อการรักษาหอบหืดที่ได้มีการปรับปรุงแล้วแม้ว่าการประเมินด้านการจัดการกับโรคหอบหืดจะแตกต่างกัน แต่แพทย์และผู้ป่วยก็เห็นพ้องต้องกันว่า การรักษาอาการหอบหืดในปัจจุบันยังคงเป็นไปได้น้อยกว่าที่ได้มีการคาดหวังกันไว้ในระดับสูง ในขณะที่แพทย์จำนวนมาก (95%) เชื่อว่า ICS เป็นมาตรฐานระดับทองคำสำหรับการรักษาอาการหอบหืด แพทย์ยังได้รายงานถึงความพึงพอใจอย่างน้อยที่สุดกับผลข้างเคียงที่ปรากฎอยู่ใน ICS แพทย์ 85% ระบุว่า จะสั่ง ICS รูปแบบใหม่หาก ICS มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและความทนทาน โดยเฉพาะ ICS ใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพที่สามารถเปรียบเทียบได้และความทนทานที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ป่วยกลุ่มย่อยที่หลากหลาย ที่ได้มีการพัฒนาเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืดและได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงในการใช้ชีวิต เกี่ยวกับคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสำรวจ GAPP คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสำรวจ GAPP ประกอบด้วยองค์กรมืออาชีพและกลุ่มที่สนับสนุนผู้ป่วย ดังนี้ * องค์กรโรคภูมิแพ้โลก องค์กรโรคภูมิแพ้โลก (WAO) เป็นองค์กรในระดับสากลที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นองค์กรด้านโรคภูมิแพ้ หอบหืด และภูมิคุ้มกันบกพร่องทางการแพทย์จากทั่วโลก ด้วยการจัดตั้งชุมชนที่ประกอบไปด้วยสมาชิก WAO ได้จัดการอบรม การบรรยาย และการสัมนาในประเทศสมาชิก 92 ประเทศ องค์กรก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2494 และได้จัดการประชุมครั้งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ 18 ครั้ง * วิทยาลัยโรคภูมิแพ้ หอบหืด และภูมิคุ้มกันแห่งอเมริกาวิทยาลัยโรคภูมิแพ้ หอบหืด และภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งอเมริกา (ACAAI) เป็นสมาคมวิชาชีพของสหรัฐฯที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา 4,900 ราย ACAAI ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2485 มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาผ่านการวิจัย การสนับสนุน และการให้การศึกษาแก่ประชาชน *องค์กรเครือข่ายโรคภูมิแพ้หืด/สาเหตุของโรคหืด องค์กรเครือข่ายโรคภูมิแพ้หืด/สาเหตุของโรคหืด (AANMA) ก่อตั้งขึ้นในปี 2528 AANMA เป็นเครือข่ายครอบครัวในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งมั่นจะหายจากโรคภูมิแพ้และโรคหืด แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ คณะทำงานที่ทำการสำรวจ GAPP *ไมเคิล เอส. บลาอิสส์, มหาวิทยาลัยศูนย์สุขภาพศาสตร์เทนเนสซี่ เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ สหรัฐอเมริกา ในนามวิทยาลัยโรคภูมิแพ้ หืดหอบ และภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งอเมริกk *คาร์ลอส อี. บาเอนา-คาญานิ, มหาวิทยาลัยคาทอลิคแห่งคอร์โดบา เมืองคอร์โดบา อาร์เจนตินา ในนามองค์กรโรคภูมิแพ้โลก *จี. วอลเตอร์ คาโนนิกา, มหาวิทยาลัยเจโนวา เมืองเจโนวา อิตาลี ในนามองค์กรโรคภูมิแพ้โลก *โรนัลด์ ดาห์ล, โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส แผนกโรคทางเดินหายใจ, เมืองอาร์ฮุส เดนมาร์ค ในนามองค์กรโรคภูมิแพ้โลก *ไมเคิล เอ. คาลิเนอร์, สถาบันโรคหืดและภูมิแพ้ เมืองเชวี่ เชส รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ในนามองค์กรโรคภูมิแพ้โลก *แนนซี่ แซนเดอร์, เครือข่ายโรคภูมิแพ้และหืด/สาเหตุของโรคหืด เมืองแฟร์แฟกซ์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา *เออร์คกา เจ. วาโลเวอร์ทา, ศูนย์โรคภูมิแพ้เทอร์คู เมืองเทอร์คู ฟินแลนด์ ในนามองค์กรโรคภูมิแพ้โลก การออกแบบการศึกษาและวิธีการศึกษา แฮร์ริส อินเตอร์แอคทีฟ (Harris Interactive) ดำเนินการสำรวจในนามของคณะกรรมการที่ปรึกษาการสำรวจ GAPP ผ่านทางอินเทอร์เน็ท ทางโทรศัพท์ และการสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า ระหว่างวันที่ 18 พ.ค.-24 ส.ค. 2548 การสำรวจทำการสัมภาษณ์บุคคลทั้งหมด 3,459 ราย (ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดทั้งหมด 1,726 ราย และคณะแพทย์ทั่วไปและเฉพาะทางที่รักษาผู้ใหญ่เหล่านั้น 1,733 ราย) ใน 16 ประเทศ ซึ่งได้แก่ ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม บราซิล แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ แอฟริกาใต้ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา กลุ่มตัวอย่างสำหรับแต่ละประเทศเป็นผู้ป่วยและแพทย์ 100 ราย ยกเว้นในสหรัฐฯที่กลุ่มตัวอย่างของแต่ละกลุ่มมีจำนวน 200 ราย คณะแพทย์ที่ทำการสำรวจต้องมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้: มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 3-30 ปีจนถึงปัจจุบัน, พบผู้ป่วยโรคหืดที่เป็นผู้ใหญ่อย่างน้อย 3 รายต่อสัปดาห์, เขียนใบสั่งยาสำหรับยาหืดอย่างน้อย 1 ฉบับต่อสัปดาห์ ส่วนแพทย์ทั่วไปรวมถึงแพทย์ประจำครอบครัว แพทย์ทั่วไป แพทย์อายุรกรรม และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งรวมถึงแพทย์ภูมิแพ้วิทยา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินหายใจ ข้อมูลในสหรัฐฯเป็นเพียงข้อมูลเดียวที่ได้รับการพิเคราะห์ ข้อมูลของแพทย์ถูกพิจารณาจากความสามารถเฉพาะทางของแพทย์ เพศ และประสบการณ์ที่ทำการรักษาที่จะสะท้อนถึงลักษณะของแพทย์ในประวัติของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสมาคมทางการแพทย์อเมริกา ข้อมูลของผู้ป่วยพิจารณาจากเพศ การศึกษา อายุ ครอบครัว รายได้ และภูมิภาคที่อาศัยอยู่ที่จะสะท้อนถึงลักษณะของผู้ป่วยโรคหืดที่เป็นผู้ใหญ่จากการสัมภาษณ์เรื่องสุขภาพระดับชาติ ข้อมูลจากประเทศอื่นๆที่ทำการสำรวจไม่ได้นำมาพิจารณาด้วย เกี่ยวกับโรคหอบหืด โรคหอบหืดเป็นโรคทางปอดชนิดเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งส่งผลให้มีการกีดขวางระบบทางเดินหายใจเพื่อตอบรับกระตุ้นบางอย่าง โดยภูมิแพ้เป็นสาเหตุให้ผู้ใหญ่จำนวน 50% เป็นโรคหอบหืด บุคคลที่ประสบปัญหาภูมิแพ้บนผิวหนังมีแนวโน้มว่าบุคคลนั้นๆหรือครอบครัว จะมีความอ่อนไหวต่อโรคและสร้างไอจีอี แอนติบอดี้ต่อสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยบ่อยครั้งต้องเผชิญกับเชื้อภูมิแพ้มากกว่า 1 ชนิดและโรคเยื่อเมือกทางช่องจมูกอักเสบอันเป็นอาการภูมิแพ้ ด้วยอาการอันเป็นลักษณะเฉพาะซึ่งรวมทั้งการหายใจหอบ ไอ และช่องทางเดินหายใจบีบรัด ซึ่งเป็นสาเหตุของการหายใจติดขัดและสามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ โกลบอล อินิชิเอทีฟ ฟอร์ แอธม่า (GINA) ระบุว่า ประชาชนมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคหอบหืด ด้วยอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคหอบหืดทั่วโลกมากกว่า 180,000 รายต่อปีเกี่ยวกับแฮร์ริส อินเตอร์แอ็คทีฟ (R) แฮร์ริส อินเตอร์แอ็คทีฟ อิงค์. (Harris Interactive Inc.) (www.harrisinteractive.com) ซึ่งตั้งอยู่ที่โรเชสเตอร์ นิวยอร์ก เป็นองค์การวิจัยตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลกเป็นอันดับ 13 โดยเป็นที่รู้จักกันดีในแบบสำรวจเดอะ แฮร์ริส โพลล์ (R) และสำหรับความเป็นผู้นำในการบุกเบิกอุตสาหกรรมการวิจัยตลาดแบบออนไลน์ แฮร์ริส อินเตอร์แอ็คทีฟได้รับการจดจำจากลูกค้ามายาวนานสำหรับการเสนอความเข้าใจถ่องแท้อันนำมาซึ่งการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างมั่นใจ บริษัทได้ผสมผสานวิทยาศาสตร์แห่งการวิจัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เข้ากับศิลปะแห่งการให้คำปรึกษาทางกลยุทธ์เพื่อส่งตรงความรู้ที่นำไปสู่คุณค่าที่ยั่งยืนและสามารถประเมินค่าได้ แฮร์ริส อินเตอร์แอ็คทีฟให้บริการลูกค้าทั่วโลกผ่านทางสำนักงานในสหรัฐอเมริกา ยุโรป (www.harrisinteractive.com/europe) และเอเชีย รวมทั้งบริษัทย่อยโนวาทริสในปารีส ฝรั่งเศส (www.novatris.com) และผ่านทางเครือข่ายบริษัทวิจัยตลาดระดับโลกที่เป็นอิสระ ที่มา: องค์กรโรคภูมิแพ้โลก (WAO) ติดต่อ: ราเชล เพลล์, องค์กรโรคภูมิแพ้โลก +1-646-935-4137 rachel.pell@ketchum.com --เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท (www.asianetnews.net)--


สภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย” เปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทยตั้งเป้าสร้างดัชนีความสุข “ผู้ป่วยโรคหืด” เป็นของขวัญปีใหม่เผยเตรียม รณรงค์แพทย์ทั่วไทย ใช้แนวการรักษาใหม่ล่าสุดของโลก

องค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโรคหอบหืด ได้ร่วมกันประกาศเปิดตัว “สภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย – Thai Asthma Council”หรือ TAC ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ตั้งเป้าเผยแพร่แนวการรักษาใหม่ ๆ ไปสู่แพทย์ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เผยปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคหืดกว่า 4 ล้านคน ชี้โรคหืดรักษาให้ใช้ชีวิตปกติสุขได้ แต่หากไม่ดูแลตัวเองอย่างถูกต้องก็อาจเสียชีวิตได้
ศ.นพ. ประพาฬ ยงใจยุทธ ประธานสภาโรคหอบหืดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของราชวิทยาลัย สมาคม สถาบัน และหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยโรคหืดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้มาตรฐานสากล รวมทั้งกระตุ้นให้มีการตื่นตัวต่อผลกระทบของโรค และลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม”
ศ.นพ. ประพาฬ กล่าวต่อไปว่า “การก่อตั้ง TAC จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบุคลการทางการแพทย์ผู้เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยโรคหืด และผู้ป่วยหืด โดยเฉพาะในเบื้องต้นนี้ TAC จะนำแนวทางการรักษาโรคหืดใหม่จาก องค์กรด้านสุขอนามัยระดับโลกหรือ GINA (The Global Initiative for Asthma) ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ประกาศกลยุทธ์ระดับโลกในการดูแลรักษาและป้องกันโรคหืดที่มุ่งการควบคุมโรคหืด ออกเผยแพร่ให้กลุ่มแพทย์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดนำไปปฏิบัติ โดยหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้แพทย์และผู้ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดทั้งประเทศจะใช้แนวการรักษาที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ที่มีเป้าหมายการรักษา ให้ผู้ป่วยโรคหืดให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยไม่เน้นระดับอาการของผู้ป่วย เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยหืดคือ การสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติทั่วไปโดยไม่มีอาการของโรคอีกต่อไป”
โดย สภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย หรือ TAC จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางที่มุ่งส่งเสริม พัฒนา แลกเปลี่ยน และเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการควบคุมโรคหืดไปสู่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึง กลุ่มแพทย์และผู้มีส่วนดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืด หน่วยงานองค์กรด้านโรคหืด ผู้ป่วยโรคหืดและครอบครัว รวมทั้งประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพื่อให้มีการดูแลรักษาไปในทิศทางเดียวกันและยกมาตรฐานการรักษาโรคหืดไปสู่แพทย์และผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้มีการก่อตั้ง สภาองค์กรโรคหืดของชาติขึ้นมาแล้ว อาทิ ออสเตรเลีย และมาเลเชีย
TAC เผยคนไทยร้อยละ 5 เสียชีวิตด้วยโรคหืดทุกปี ชี้ “โรคหืด” เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ วัย ในทุกช่วงอายุ
ทั้งนี้ จากรายงานการสำรวจควบคุมโรคหืดในประเทศไทย พบว่าผู้ป่วยในไทยได้รับความทรมานจากการเจ็บป่วยมาก รวมทั้งมีอัตราการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาล และเข้ารักษาที่ห้องฉุกเฉินมากกว่าเมื่อเทียบกับผลสำรวจในยุโรป และของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีอัตราการป่วยและเสียชีวิตสูง ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากการขาดการรักษาเชิงป้องกัน นอกจากนี้ยังพบว่าในรอบ 1 ปีเด็กวัยเรียนประมาณ 10-13% มีอาการจับหืด โดยร้อยละ 5 ของผู้ป่วยโรคหืดจะเสียชีวิตจากอาการของโรค
ข้อมูลสำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับโรคหืดคือ โรคหืดไม่ใช่โรคติดต่อแต่อาจจะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานได้ ข้อสำคัญคือคนปกติที่ไม่เคยเป็นโรคหืด ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ในภายหลังหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนเอื้อต่อการเป็นโรคหืด
จำนวนผู้ป่วยโรคหืดทั่วโลกมีประมาณ 300 ล้านคน (ที่มา http://www.ipst.ac.th/ /Thai Version/publications /in_sci/asthma.html) จำนวนผู้ป่วยในประเทศไทยจากการสำรวจล่าสุด พบว่ามีผู้ใหญ่เป็นโรคหืด (ช่วงอายุ 20-44 ปี) ประมาณร้อยละ 4 - 6 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 4 ล้านคน ในบรรดาผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหืด โรคหืดในเด็กในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.5 เมื่อปี 2530 เป็นร้อยละ 13 ในปี 2540 และเป็นร้อยละ 9.5 ในเด็กอายุ 6 – 12 ปี และ 5% ในเด็กอายุ 12 – 18 ปี จากการสำรวจในปี 2548 - 2549
TAC เตรียมเผยแพร่แนวการรักษาโรคหืดล่าสุดของโลกพร้อมแนะนำ ACT แบบวัดผลการดูแล “โรคหืด”สู่ผู้ป่วย
ศ.นพ. ประพาฬ กล่าวต่อไปว่า “สภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย จะนำกิจกรรมหลากหลายเพื่อให้ความรู้ กระตุ้น และรณรงค์ให้เกิดการควบคุมโรคหืดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามแนวทางการรักษาโรคหืดใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับและเผยแพร่ไปทั่วโลก (GINA guideline) ไปสู่ทั้งหน่วยงานและองค์กรที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืด กลุ่มแพทย์ และผู้ป่วยโรคหืดและครอบครัวทั่วประเทศ และจะเป็นหน่วยงานงานที่เชื่อมโยงและประสานความรู้และความร่วมมือให้กับองค์กรโรคหืดทั้งหมดในประเทศไทย”
โดยในเบื้องต้นเราจะนำเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดผลการควบคุมโรคหืดของผู้ป่วยที่เรียกว่า Asthma Control Test หรือ ACT มาใช้ ซึ่งจะทำให้แพทย์เข้าใจสภาวะของผู้ป่วยโรคหืดได้ทันที และสามารถให้การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยแบบประเมินผลนี้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยสามารถหาได้จากเวปไซด์ http://www.asthmacontrol.com/” ศ.นพ. ประพาฬ กล่าวในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ TAC ยังเตรียมแผนกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้ชาวไทยทุกคนได้รู้จักโรคหืด และมีวิธีการดูแลตัวเองไม่ให้กลายเป็นผู้ป่วยโรคหืด รวมทั้งกิจกรรมเพื่อผู้ป่วยโรคหืด และครอบครัวของผู้ป่วยโรคหืด เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยหืดสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมทั้งแผนการสัมมนา ประชุม และอบรมแพทย์และผู้เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคหืด เพื่อให้เกิดการดำเนินงานและการรักษาไปในแนวทางเดียวกัน อันจะทำให้การรักษาโรคหืดในประเทศไทยพัฒนาก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ สมาคมองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนเบื้องต้นจากบริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ จีเอสเค ในการก่อตั้งองค์กรและการจัดกิจกรรมการสัมมนา ประชุม และอบรมแพทย์ รวมตลอดถึงกิจกรรมเพื่อผู้ป่วยโรคหืดต่าง ๆ โดยสมาคมองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ยังมีเป้าหมายที่จะจัดหาความร่วมมือเพิ่มเติมจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อร่วมสร้างมาตรฐานการรักษาโรคหืดในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น
โรคหืด เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม มีผลทำให้ผนังของหลอดลมผู้ป่วยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมาประกาศเตือนแล้วว่า โรคหืดเป็นโรคที่กำลังคุกคามประชากรทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต การทำงาน หรือการเรียนของผู้ป่วย และเนื่องจากโรคหืดเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ จึงยิ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกควรรู้จักและให้ความสนใจ
สื่อมวลชนที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ภรณ์ธณัฐ สถิรกุล , ฐิภา จิ๋วแก้ว ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ บริษัท กู๊ด มอร์นิ่ง มันเดย์ จำกัด โทร. 02-953-9625 ต่อ 801 , 806 หรือ 02-953-9905 อีเมล์ gmmonday2020@gmail.com
อย่าประเมินอาการคนไข้หอบหืดต่ำไป เพราะผู้ป่วยอาจถึงตายได้
อาการกำเริบจนอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะในปัจจุบัน สองโรคนี้มีแนวโน้มซับซ้อนมากขึ้น คำแนะนำดังกล่าวเป็นการเปิดเผยจากรายงานเรื่อง Allergic Rhinitis and Its Impact on Asthma (ARIA) ขององค์การอนามัยโลกศ.นพ.ปกิต วิชยานนท์ นายกสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง มักจะป่วยเป็นโรคอื่นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันร่วมด้วย เช่น หอบหืด ผื่นแพ้ทางผิวหนัง โรคภูมิแพ้ทางตา อาการแพ้ต่างๆ เช่น แพ้ยา แพ้อาหาร ลมพิษ สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดนั้น ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 60-80 มักมีโรคภูมิแพ้แฝงอยู่ ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็จะมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้มากกว่าคนปกติถึงสามเท่า ดังนั้นหากคนไทยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ ดังกล่าว และรู้ถึงแนวทางป้องกันตนเองให้พ้นจากโรค ก็จะสามารถลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคสำหรับลักษณะของโรคภูมิแพ้ หืด และภูมิคุ้มกันบกพร่องว่า เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำงานผิดปกติ โดยมีสาเหตุสำคัญของโรคเกิดจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ได้แก่สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น แมลงสาบ หญ้า มลภาวะ ควันบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมในปัจจุบันซึ่งมีมลพิษมากขึ้นก็มีส่วนทำให้อาการของผู้ป่วยด้วยโรคนี้กำเริบมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนโรคหอบหืดนั้นเป็นโรคเรื้อรังที่มักเกิดตามมาหลังจากป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ เนื่องจากโรคภูมิแพ้ทางจมูก ตา หืด และผื่นแพ้ทางผิวหนังมักมีความเกี่ยวพันกัน จากสถิติโดยทั่วไป ในครอบครัวที่มีบิดามารดาเป็นโรคหอบหืดทั้งคู่ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดประมาณร้อยละ 50 และถ้าบิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโรคหอบหืดแล้ว ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ร้อยละ 25ส่วนโรคหืดนั้น อ.ปกิตกล่าวว่า เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังในหลอดลมทางเดินหายใจ พบได้กับคนทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ ในประเทศไทยมีประชากรที่กำลังเป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 5-10 หรือเกือบ 3 ล้านคน และพบว่า มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคหืดปีละประมาณไม่ต่ำกว่าพันคน ส่วนใหญ่เป็นเพราะไปถึงมือแพทย์ช้าเนื่องจากประเมินความรุนแรงของโรคต่ำกว่าความเป็นจริงจนหลอดลมถูกอุดตันเสียแล้ว ผู้ป่วยโรคหืด มักมีอาการหอบเหนื่อยเป็นๆ หายๆ อย่างเรื้อรัง ในปัจจุบันแม้จะยังไม่มียาที่ใช้รักษาให้โรคนี้หายขาดได้ แต่ก็มียาที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ควบคุมอาการ ลดความรุนแรงและป้องกันการจับหืดรุนแรงจนอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ยาที่ใช้ในการรักษาโรคนี้ มีทั้งแบบยาพ่นชนิดสเตียรอยด์ และยารับประทานที่ไม่มีสเตียรอยด์ โดยยารับประทานที่ไม่มีสเตียรอยด์นั้นจะเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ประสิทธิภาพในการควบคุมโรคของยาดังกล่าว สอดคล้องกับคำแนะนำล่าสุดขององค์กรด้านโรคหืด และภูมิแพ้ระดับโลก ซึ่งได้แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้ในการรักษาคนไข้ที่มีอาการไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม โดยยารับประทานที่ไม่มีสเตียรอยด์นั้นเป็นทางเลือกในการควบคุมโรคให้กับคนไข้ที่มีปัญหาในการพ่นยา ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของสเตียรอยด์ หรือเพื่อใช้ร่วมกับยาพ่นสเตียรอยด์ในกรณีที่ต้องการควบคุมอาการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"สำหรับภูมิแพ้ที่ร้ายแรงเรียกว่า อะนาไฟแล็กสิส (ANAPHYLAXIS) เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลันซึ่งเกิดขึ้นภายในเวลา 15-30 นาทีหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหาร ยา ผึ้ง ต่อ แตน และมีผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย อาการที่พบประกอบด้วยอาการทางผิวหนัง ซึ่งพบได้มากที่สุดประมาณกว่าร้อยละ 90 ได้แก่ เป็นผื่นแดง คันตามตัว เป็นลมพิษ และอาการอื่นๆ ได้แก่ น้ำมูกไหล คัดจมูก เสียงแหบ ไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง ท้องอืด หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ ความดันโลหิตลดต่ำ เวียนศีรษะ เป็นลมหมดสติ ช็อก ซึ่งต้องให้การบำบัดอย่างเร่งด่วน "นายกสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย ยังได้แนะนำต่อไปอีกว่า เนื่องจากความล่าช้าในการวินิจฉัยและรักษาอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดมีอาการแพ้อาหาร แพ้ยา เหล็กในผึ้ง ต่อ แตน หรือมดคันไฟอย่างรุนแรง ควรแนะนำให้พกหลอดยาฉีดบรรจุอิพิเนฟริน (EPINEPHRINE) อัตราส่วน 1:1000 เพราะการตัดสินใจฉีดยานี้เข้ากล้ามเนื้อต้นขาอย่างรวดเร็วอาจจะช่วยชีวิตไว้ได้ในกรณีที่ผู้ป่วยสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงมาก่อนนี้ได้"ถึงแม้ว่าโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และหอบหืดนั้น ส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถควบคุมอาการของโรคได้ องค์กรด้านโรคหืด และภูมิแพ้ระดับโลกเชื่อว่าหากผู้ป่วยโรคหืดได้รับการบำบัดรักษาที่เหมาะสมแล้ว ผู้ป่วยส่วนมากจะสามารถควบคุมอาการได้ ไม่มีปัญหาข้อจำกัดในการนอนหลับ หรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ตลอดจนความบกพร่องในการทำงานของปอด และการใช้ยารักษาช่วยชีวิตแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยควรเรียนรู้ที่จะรับมือกับโรคดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรค ด้วยการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น การซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนและคลุมที่นอนเพื่อกำจัดและป้องกัน ไรฝุ่น กำจัดแมลงสาบในบ้าน ไม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีขนไว้ในบ้าน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหาร ยา แมลงที่ตนเองแพ้ ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงการหลีกเลี่ยงควันธูป ควันท่อไอเสีย พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด" อ.ปกิตทิ้งท้ายสำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ในวันเสาร์ที่ 30 มิ.ย.นี้ เวลา 12.00-15.30 น. ณ อินฟินิตี้ ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ทางสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่างบริษัท แอสตร้า เซนเนก้า (ประเทศไทย) บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) และบริษัทยูซีบี ฟาร์มา (ไทยแลนด์) ได้ร่วมกันจัดงาน “อยู่อย่างไรให้ชนะ ภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และหอบหืด” ขึ้น ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนอกจากนั้น ในปีนี้สมาคมโรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทยได้รับเกียรติจากนานาประเทศ ให้เป็นผู้จัดการประชุม World Allergy Congress 2007 ในระหว่างวันที่ 2-6 ธันวาคม 2550 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกด้วยhttp://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000074948

คณะกรรมการ พยาบาลทีมเครือข่ายดูแลผู้ป่วยหอบหืด จังหวัดร้อยเอ็ด

1. คุณ สวรรค์ รุจิชยากูร พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ ประธานกรรมการ โรงพยาบาลพนมไพร
2. คุณ พรรณี วงค์อามาตย์ " รองประธาน โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
3. คุณ สุวรรณา ขันทับ " กรรมการ โรงพยาบาล จังหาร
4. คุณ กัญจนา กองแสง " กรรมการ โรงพยาบาลเกษตรวิสัย
5. คุณ พรรณี แสนสีหา " กรรมการ โรงพยาบาล โพธิ์ชัย
6. คุณ ธิติพร ตรีกุล " กรรมการ โรงพยาบาลเสลภูมิ
7. คุณ ถวารินทร์ ชำนาญเอื้อ " กรรมการ โรงพยาบาลธวัชบุรี
8. คุณ สุคนธ์ ปัสสาคร " กรรมการ โรงพยาบาลปทุมรัตน์
9. คุณอรววรณ " กรรมการ โรงพยาบาล สุวรรณภูมิ
10. คุณปรีชญา ข่าขันมลี " กรรมการ โรงพยาบาล โพนทอง
11. คุณลัดดาวัลย์ " กรรมการ โรงพยาบาล จตุรพักตร์พิมาน
12. " กรรมการ โรงพยาบาล โพนทราย
13. คุณ สุภิญญา สมญา พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ เลขานุการ โรงพยาบาล ศรีสมเด็จ


งานของเครือข่ายเราที่จะทำ หลังไป นาข่าที่อุดรธานี 1-2 ตุลาคม 2552
คืองานพัฒนาไกด์ไลด์การพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วยหอบหืดให้มีประสิทธภาพ ตรงตามปัญหาของแต่ ละบุคคลโดยใช่งานวิจัยสนับสนุน

การใช้ผลงานวิจัยทางการพยาบาล เพื่อประกอบการทำเครื่องมือประเมินและให้ความรู้
1. การกำหนดประเด็นปัญหาทางคลินิก
1.1 ระบุประเด็นปัญหาที่สนใจทางคลินิกที่ต้องการปรับปรุง/แก้ไข ด้วยงานวิจัย พร้อมกลุ่มประชากร เด็กวัยเรียนที่เป็นโรคหอบหืด มีการปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องที่พบบ่อยคือ การใช้ยาที่มากหรือน้อยเกินกว่าที่แพทย์กำหนด การเลิกรับประทานยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากขาดความรู้ และขาดทักษะในการปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพเรื่องต่าง ๆ เช่น การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่นำไปสู่อาการหอบ การจัดสภาพ แวดล้อมที่เหมาะสมในบ้าน การสังเกตอาการเตือนที่จะนำไปสู่อาการหอบ การบริหารการหายใจเพื่อควบ คุมอาการหอบ การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ การสอนให้เด็กมีความรู้จะช่วยให้เด็กมีทักษะในการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดปัญหา
1.2 หลักการ และเหตุผล เนื่องจากโรคหอบหืดมีปัจจัยและสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดได้จากหลายประการ มีผลคุกคามต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และการดำรงชีวิตในสังคมของเด็กที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด เจริญเติบโตช้า ร่างกายอ่อนแอ ปัญหาการรักษาพยาบาลที่พบในผู้ป่วยโรคหอบหืดทุกวัยคือ ขาดความรู้ และทักษะในการปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพเรื่องต่าง ๆ เช่น ควบคุมอาการหอบ การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ ด้วยเหตุดังกล่าว อาจจะสรุปได้ว่า การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเด็กโรคหอบหืดด้วยการสอน และให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยมีความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพตนเองนั้น จะช่วยให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตกับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งการให้ความรู้หรือคำแนะนำผู้ป่วยถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของบุคลากรทางการพยาบาล
1.3 วัตถุประสงค์ - เพื่อสร้างแนวทางในการปฏิบัติการสอนที่จะนำไปใช้จริงกับกลุ่มประชากรเด็กวัยเรียนโรคหอบหืด - เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อเพิ่มทักษะให้แก่เด็กวัยเรียนโรคหอบหืด 1.4 ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับ พร้อมทั้งแนวทางการประเมิน - เด็กวัยเรียนโรคหอบหืด รู้จักวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดอาการหอบ- เด็กวัยเรียนโรคหอบหืด รู้จักวิธีป้องกัน และหลีกเลียงสิ่งกระตุ้นไม่ให้เกิดอาการหอบ- เป็นแนวทางให้แก่บุคลากรพยาบาลนำไปใช้ในหน่วยงานกับเด็กวัยเรียนโรคหอบหืดแนวทางการประเมิน1. แบบสอบถามเพื่อประเมินการปฏิบัติตัว และการป้องกันเพื่อหลีกเลียงสิ่งกระตุ้น2. แบบประเมินความพึงพอใจของบุคลากรพยาบาลที่ใช้แนวปฏิบัติในหน่วยงาน2. แนวทางการสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูลสารสนเทศ
2.1 คำสำคัญ PICO P = School age child with Asthma I = teaching C = - O = Knowledge and skill for self-care management 2.2 ฐานข้อมูลที่ใช้ในการสืบค้น ทำการสืบค้นหลักฐานอ้างอิงจากแหล่งข้อมูล Electronic Database เช่น CINALH, Cochrane, OVID, Pub-Medและจาก Hand search 2.4 สรุปงานวิจัยที่สืบค้นได้ งานวิจัยที่สืบค้นมาได้ 3 เรื่องคือ- ผลของการให้ความรู้ในเด็กวัยเรียนโรคหอบหืดต่อความรู้ และการปฏิบัติตัว- A Randomized, Controlled Trial of an Interactive Educational Computer Package Children with Asthma- Effects of a self – management educational program for the control of childhood asthma 3. การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินคุณภาพงานวิจัย • ผลของการให้ความรู้ในเด็กวัยเรียนโรคหอบหืดต่อความรู้ และการปฏิบัติตัว ชื่อเรื่อง บอกถึงรูปแบบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง และตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองมีกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กวัยเรียนโรคหอบหืด และตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยคือผลของการให้ความรู้เด็กวัยเรียนโรคหอบหืดต่อความรู้ และการปฏิบัติตัว ไม่ได้ระบุปัญหาของการวิจัยไว้ชัดเจน แต่มีสมมติฐานของการวิจัยได้ระบุชัดเจนว่าหลังจากเด็กได้รับความรู้ มีคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคหอบหืด และการปฏิบัติตัวสูงกว่าก่อนได้รับความรู้ แต่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้ออำนวยและปัจจัยส่งเสริมการปฏิบัติตัวของเด็ก เนื่องจากข้อมูลที่นำมาศึกษามีความจำกัด วัตถุประสงค์มีความสอดคล้องตัวแปรและสมมติฐาน ผู้วิจัยไม่ได้ระบุกรอบแนวคิดไว้ที่ชัด แต่ผู้วิจัยได้ดัดแปลงมโนทัศน์ของ กรีน (Green) มาเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา การเก็บรวบรวมข้อมูล มีการบันทึกเป็นขั้นตอน พร้อมระบุเครื่องมือ และแผนการสอนรายละเอียด สถิติที่ใช้มีความเหมาะสม ในการวิเคราะห์ข้อมูลมีการนำเสนอผลการวิจัยในรูปของการอธิบายชัดเจน ผลการวิจัย สามารถตอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ • A Randomized, Controlled Trial of an Interactive Educational Computer Package Children With Asthma ชื่อเรื่องบอกรูปแบบการวิจัย และกลุ่มประชากร ไม่ได้บอกถึงสมมติฐานที่ชัดเจนแต่ทราบได้จากวัตถุประสงค์ บอกถึงเครื่องมือและวิธีการวัดที่ชัดเจน การแบ่งกลุ่มตัวอย่างเหมาะสม สถิติที่ใช้มีความเหมาะสมแล้ว ผลการวิจัยตอบสมมติฐาน แหล่งอ้างอิงเป็น primary source แหล่งตีพิมพ์น่าเชื่อถือ • Effects of a self – management educational program for the control of childhood asthma ชื่อเรื่องบอกรูปแบบการวิจัย และกลุ่มประชากร ไม่ได้บอกถึงสมมติฐานที่ชัดเจนแต่ทราบได้จากวัตถุประสงค์ บอกถึงเครื่องมือและวิธีการวัดที่ชัดเจน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างน้อยเกินไป สถิติที่ใช้มีความเหมาะสมแล้ว ผลการวิจัยตอบสมมติฐาน แหล่งอ้างอิงเป็น primary source แหล่งตีพิมพ์น่าเชื่อถือ

4. การสังเคราะห์งานวิจัย
ชื่อผู้วิจัย / วารสาร / ปีพิมพ์
วัตถุประสงค์
ระเบียบวิธีวิจัย/ระดับงานวิจัย
แหล่งที่ทำ/กลุ่มตัวอย่าง
การปฏิบัติ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
สรุปผลการวิจัย
การประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปใช้
ทัศนียา วังสะจันทานนท์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยา ลัยมหิดล 2536
1. เพื่อเปรียบเทียบความรู้เรื่องโรคหอบ หืดของเด็กวัยเรียนก่อน และหลังการให้ความรู้2. เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติตัวของเด็กวัยเรียน ก่อน และหลังการให้ความรู้3. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตัวเด็กวัยเรียนโรคหอบหืด
เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research)ระดับ III one group pretest posttest design
เด็กวัยเรียนที่เป็นโรคหอบหืด อายุ 7-12 ปี ไม่จำกัดเพศ ระดับการศึกษา และระดับความรุนแรงของโรค จำนวน 30 ราย ทำเป็น one-group pre-posttest design
ให้ความรู้ตามแผนการสอนแก่เด็ก กลุ่มละ 5-7 คน สอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง (3 สัปดาห์) ครั้งที่ 1 สอนเรื่องความรู้เกี่ยวกับโรค และสาธิตฝึกบริหารการหายใจ ครั้งที่ 2 ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการหอบ สอนเรื่องการใช้ยา และการปฏิบัติตัวครั้งที่ 3 ทบทวนการบริหารการหายใจ สาธิตและฝึกการคลายกล้ามเนื้อ และสอนวิธีการขับเสมหะ สรุปเนื้อหาทั้งหมดและให้สอบถามข้อสงสัย หลังจากนั้นอีก 4 สัปดาห์จึงมาประเมินผล
1. แผนการสอนเด็กโรคหอบหืด เป็นแบบวัดการให้ความรู้แก่เด็ก2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสัมภาษณ์3 ชุดคือ2.1. แบบสัมภาษณ์ข้อ มูลส่วนบุคคล2.2. แบบสัมภาษณ์ความรู้เกี่ยวกับโรค 2.3. แบบสัมภาษณ์การปฏิบัติตัว
• ค่าเฉลี่ยของการ ปฏิบัติตัว ก่อนทดลอง 20.933• ค่า SD ของการปฏิบัติตัวก่อนทดลอง 3.648• ค่าเฉลี่ยของการปฏิบัติตัว หลังการทดลอง 30.600• ค่า SD ของการปฏิบัติตัว หลังการทดลอง 2.634
- เวลาที่ใช้ในการวิจัยสั้นไปอาจศึกษาเป็นระยะ ทุก 3-6 เดือน หรือ 1ปี หลังการสอน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง หรือศึกษาตัวแปรตาม- วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นวิธีที่ดี สะดวกในการติดตามมีความเหมาะสม
Amy C. McPherson, Christine Glazebrook, Debra Forster, Claire James, Alan Smith, 2006
เพื่อศึกษาผลของ Program การให้ความรู้ในการดูแลตนเอง และควบคุมโรคหอบหืดในเด็ก
RCT ระดับ II
An office setting in Venezuela กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กจำนวน 29 คน อายุระหว่าง 6– 14 ปี แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มทดลอง จำนวน 17 คน และ กลุ่มควบคุมจำนวน 12 คนโดยการสุ่มเข้ากลุ่ม
1)กลุ่มควบคุมได้รับคำแนะนำทั่วไปในการดูแลรักษาตาม ปกติ -แจก Booklet by mail หลังจากนั้น 1 เดือนติดตามอีกครั้ง 2)กลุ่มทดลองให้ทำ Interactive computer game with a secret-agent theme- แบ่งเป็น 8 ส่วน ส่วนที่ 1-3 เป็นการเรื่องความรู้เบื้องต้นของโรคหอบหืด4-6 เป็นเรื่องself – management7-8 เป็นการทำ role play- มีการบรรยาย ให้เด็กตอบคำถามและทดลองแก้ปัญหา- การให้คำแนะนำจะขึ้นอยู่กับคะแนนที่เด็กทำได้ ใช้เวลาในการทดสอบความรู้ 90นาที / ครั้ง- แจก Booklet หลังจากทำ posttest ไปแล้ว 1 เดือน
1. แบบสอบถามความ รู้เกี่ยวกับอาการและการดูแลตนเองของผู้ป่วยเด็กโรคหอบหืดจำนวน 33 ข้อ2. แบบสอบถามความ สามารถในการดูแล ตนเองเมื่อมีอาการหอบ
Pretest knowledge score - Control Group 17.47 (3.81)- Computer Group 19.0 (3.98)Posttest knowledge score - Control Group 1.55 (0.64 to 2.48)- Computer Group 3.97 (3.02 to 4.92)
วิธีการสอนโดยใช้ โปรแกรม Computer นำไปใช้ได้ยากเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง มีข้อจำกัดในการใช้กับกลุ่มประชากรในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
Maria Gabriela Perez, Lya Feldman, Fernan Caballero / Patient Education and Counseling 36 (1999) 47 – 55
เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ในการดูแลตนเอง และควบคุมโรคหอบหืดในเด็ก
RCT ( II)
กลุ่มประชากรที่ศึกษาเป็นเด็ก จำนวน 29 และผู้ปกครอง 43 คน(drop out 14)ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืด ระดับ mild-severe อายุระหว่าง 6-14 ปี แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 17 คน และกลุ่มควบคุม 12 คน ด้วยการสุ่มตัวอย่าง ทำใน office setting in Venezuela
-กลุ่มประชากรมีการสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เด็กทุกคนที่เข้ากลุ่มจะได้รับยา Theophylline, inhaled corticosteroids และ Bronchodilators แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 17 คน และกลุ่มควบคุม 12 คน มีการแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม ตามอายุ และประสบการณ์ และได้จัดโปรแกรมในการให้ความรู้ ดังนี้1. โปรแกรมสำหรับผู้ปกครอง2. โปรแกรมสำหรับเด็กในกลุ่มควบคุมมีการดูแลตามปกติ
-Children’s structured interview(แบบสัมภาษณ์จำนวน 33 ข้อ ประเมินความรู้ของเด็กเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง,อาการนำ และการจัดการอาการหอบ- Children’s asthma self management index แบ่งเป็น 3 sub-indexsมี 19 items เนื้อหาเกี่ยวกับการป้องกัน,อาการนำ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม -Checklist ปัญหาพฤติกรรม-Asthma problem behavior checklist-Morbidity index-Program evaluation sheet for children-Parents’ structured interview-asthma management index- Parents’ knowledge questionnaire-informative brochure evaluation sheet for parents-Program evaluation sheet for parents
-ผลของโปรแกรมการให้ความรู้วัดจาก children self ,s report พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนน posttest สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ค่า p value<> 2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ แต่ <> 1 คืน / สัปดาห์
Beclomethazone ( 50 µg / puff) ให้ 320 - 680 µg ( 8 -14puff )
เริ่มที่ 2 -3 puff x 4 ทุกวัน และค่อยๆ ลดdose ลงถ้าอาการดีขึ้น 1-3 เดือน
หรืออาจให้ Theophyllin SR 10 mg /Kg /day oral bid pc ( Max 800 mg / day )
ให้ Salbutamal inhalation 2-4 puff เมื่อมีอาการ
ระดับที่ 4
หอบเหนื่อยในเวลากลางวันตลอดเวลา
หอบเหนื่อยในเวลากลางคืน ≥ 1 คืน / สัปดาห์
Beclomethazone ( 50 µg / puff) ให้ 320 - 680 µg ( 8 -14puff )
เริ่มที่ 2 -3 puff x 4 ทุกวัน และค่อยๆ ลดdose ลงถ้าอาการดีขึ้น 1-3 เดือน
หรืออาจให้ Theophyllin SR 10 mg /Kg /day oral bid pc
( Max 800 mg / day )
ถ้ายังมีอาการมากให้ Pred 2 mg / Kg / day ( Max 600 mg / day ) ค่อยๆลดขนาด ถ้าควบคุมได้
ให้ Salbutamal inhalation 2-4 puff เมื่อมีอาการ